แนะนำวิธีสตาร์ทรถยนต์ที่ถูกต้อง
การสตาร์ทรถยนต์ไม่ใช่แค่บิดกุญแจแล้วขับออกไป การสตาร์ทที่ถูกวิธีช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ ลดการสึกหรอของชิ้นส่วนสำคัญ และป้องกันปัญหารถสตาร์ทไม่ติดในอนาคต มาทำความเข้าใจทีละขั้นตอนกันว่าควรทำอย่างไร

ขั้นตอนการสตาร์ทรถยนต์ที่ถูกต้อง
1. นั่งในตำแหน่งที่พร้อมขับ
ก่อนจะสตาร์ทรถ ควรปรับเบาะนั่งให้เหมาะสม ปรับกระจกมองข้างและกระจกมองหลังให้ชัดเจน จากนั้นสำรวจรอบห้องโดยสารให้เรียบร้อย ตรวจสอบเบรกมือ และพยายามมีสมาธิอยู่กับการขับรถเสมอ

2. ตรวจสอบตำแหน่งเกียร์
- รถเกียร์ออโต้ (AUTO): ให้เข้าเกียร์ในตำแหน่ง P หรือ N
- รถเกียร์ธรรมดา (MANUAL): ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอยู่ในเกียร์ว่าง (N) และเหยียบคลัตช์ไว้ก่อนสตาร์ท

3. ปิดระบบไฟฟ้าทั้งหมดก่อนสตาร์ท
เช่น เครื่องเสียง แอร์ หรือสายชาร์จโทรศัพท์ เพื่อให้พลังงานจากแบตเตอรี่จ่ายให้ระบบสตาร์ทได้เต็มที่ และลดภาระให้กับมอเตอร์สตาร์ท

4. บิดกุญแจไปที่ตำแหน่ง ON
รอให้ไฟหน้าปัดแสดงสัญลักษณ์ทั้งหมด และรอจนไฟเตือนต่างๆ ดับลง โดยเฉพาะไฟน้ำมันเครื่องหรือระบบไฟฟ้าสำคัญ แสดงว่ารถพร้อมใช้งานแล้ว
5. บิดกุญแจไปที่ตำแหน่ง START
เมื่อมั่นใจว่าทุกระบบพร้อมแล้ว ให้บิดไปที่ตำแหน่ง START เพื่อสตาร์ทรถ แต่ห้ามบิดค้างหรือบิดซ้ำหลังจากเครื่องติดแล้ว เพราะอาจทำให้มอเตอร์สตาร์ทเสียหายได้
ตรวจสอบอีกครั้งว่าไม่มีไฟเตือนผิดปกติปรากฏอยู่ และฟังเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ หากมีเสียงดังผิดปกติหรือสั่นผิดจังหวะ ควรให้ช่างตรวจสอบก่อนใช้งาน
ความหมายของตำแหน่งต่างๆ ในช่องกุญแจ
- LOCK – ตำแหน่งดับเครื่อง ล็อคพวงมาลัย เพื่อป้องกันการขโมย
- ACC (Accessory) – ใช้งานระบบไฟฟ้าบางส่วน เช่น เครื่องเสียง โดยไม่สตาร์ทรถ ควรใช้เวลาไม่นานเพื่อถนอมแบตเตอรี่
- ON – เปิดระบบไฟฟ้าทั้งหมดในรถ พร้อมแสดงไฟเตือนและมาตรวัดต่างๆ ก่อนสตาร์ท
- START – จ่ายไฟให้กับมอเตอร์สตาร์ทเพื่อให้เครื่องยนต์ติด เมื่อติดแล้วจะเด้งกลับมาที่ ON โดยอัตโนมัติ
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- หมั่นตรวจสอบแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว
- อย่าเหยียบคันเร่งตอนสตาร์ทรถยนต์รุ่นใหม่ เพราะระบบจ่ายน้ำมันและอากาศถูกควบคุมโดย ECU
- หากเครื่องยนต์ติดยาก อาจต้องตรวจสอบหัวเทียน ฟิลเตอร์อากาศ หรือแบตเตอรี่