สิ่งแรกที่ต้องทำคือเปิดฝากระโปรงดูว่ามีน้ำหรือคราบน้ำในห้องเครื่องหรือไม่ ถ้าเห็นน้ำขังหรือมีคราบเปียกบนชิ้นส่วนต่างๆ ห้ามสตาร์ทรถเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิด "วอเตอร์แฮมเมอร์" (Water Hammer) คือน้ำถูกดูดเข้าห้องเผาไหม้ ทำให้เครื่องยนต์พังได้ทันที
วิธีแก้: ให้ระบายน้ำออกก่อน แล้วเช็ดชิ้นส่วนให้แห้ง หรือปล่อยให้แห้งเองประมาณ 24-48 ชั่วโมงก่อนลองสตาร์ท
น้ำท่วมอาจทำให้น้ำซึมเข้าไปผสมกับน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเกียร์ได้ ซึ่งจะทำให้สมรรถนะลดลงและเกิดความเสียหายระยะยาว
วิธีเช็ก:
วิธีแก้: เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและน้ำมันเกียร์ใหม่ทั้งหมด รวมถึงไส้กรองน้ำมันด้วย
รถลุยน้ำบ่อยหรือน้ำท่วมสูงจะทำให้ความชื้นเข้าสู่ระบบไฟฟ้า เซนเซอร์ต่างๆ หรือตัวแบตเตอรี่เอง ทำให้เกิดอาการ "รถสตาร์ทไม่ติดหลังน้ำท่วม" ได้
วิธีเช็ก:
วิธีแก้: ทำความสะอาดขั้วแบต เป่าความชื้นออกด้วยลมหรือไดร์เป่าผม หรือให้ช่างตรวจระบบไฟเพิ่มเติม
น้ำท่วมอาจทำให้ผ้าเบรกเปียก มีเสียงดังเวลาเบรก หรือเกิดสนิมในชิ้นส่วนช่วงล่าง เช่น แหนบเบรก ดิสก์เบรก และโช้คอัพ
วิธีเช็ก:
วิธีแก้: ขับรถช้าๆ และเบรกบ่อยๆ เพื่อให้ความร้อนช่วยระเหยความชื้น หากปัญหาไม่หาย ควรให้ช่างตรวจเช็ก
ไส้กรองอากาศเป็นชิ้นส่วนที่อ่อนไหวมาก ถ้าเปียกจากน้ำท่วมแล้วยังสตาร์ทรถ จะทำให้เครื่องยนต์ดูดน้ำเข้าไปและเกิดความเสียหายร้ายแรงได้
วิธีเช็ก:
วิธีแก้: เปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ทันที
เมื่อรถลุยน้ำ ความร้อนของยางจะลดลงทันที ทำให้ลมยางหดตัว หรือยางอาจเสื่อมเร็วขึ้นจากการเสียดสีกับน้ำและโคลน
วิธีเช็ก:
วิธีแก้: เติมลมให้ครบตามมาตรฐาน และดึงสิ่งแปลกปลอมออก
เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างแห้งแล้ว ให้ลองสตาร์ทรถและฟังเสียงเครื่อง
วิธีเช็ก:
วิธีแก้: หยุดใช้รถทันที และเรียกช่างมาตรวจสอบ
น้ำท่วมอาจทำให้มีเศษดิน โคลน หรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปอุดตันในท่อไอเสีย ส่งผลให้รถเร่งไม่ขึ้นหรือควันดำ
วิธีเช็ก:
วิธีแก้: ทำความสะอาดใต้ท้องรถและท่อไอเสีย
น้ำเข้ารถอาจทำให้เกิดกลิ่นอับ เชื้อรา หรือระบบแอร์มีปัญหา
วิธีเช็ก:
วิธีแก้: ทำความสะอาดภายในรถ เปลี่ยนไส้กรองแอร์ และอบโอโซนเพื่อกำจัดเชื้อราและกลิ่นอับ
ถ้าคุณตรวจเช็กแล้วยังไม่แน่ใจหรือพบอาการผิดปกติ อย่าเสี่ยงขับต่อ เพราะอาจทำให้ความเสียหายรุนแรงขึ้น
บริการ ซ่อมรถนอกสถานที่ กำลังเป็นที่นิยม เพราะสะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องลากรถเข้าอู่ คุณสามารถค้นหาบริการเช่น:
หรือใช้แอป 24CARFIX เรียกช่างมาเช็กอาการได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นงานเช็กเครื่อง เปลี่ยนแบต หรือซ่อมระบบไฟ
✅ เช็กระดับน้ำในห้องเครื่อง – ห้ามสตาร์ทถ้ามีน้ำ
✅ ตรวจน้ำมันเครื่องและน้ำมันเกียร์ – เปลี่ยนถ้ามีน้ำปน
✅ เช็กแบตและระบบไฟ – ทำความสะอาดขั้วแบต
✅ ดูระบบเบรกและช่วงล่าง – ฟังเสียงและมองหาสนิม
✅ เช็กไส้กรองอากาศ – เปลี่ยนถ้าเปียก
✅ ตรวจยางและลมยาง – เติมลมให้ครบ
✅ ฟังเสียงเครื่องเมื่อสตาร์ท – หยุดถ้ามีเสียงผิดปกติ
✅ ดูใต้ท้องรถและท่อไอเสีย – ทำความสะอาดสิ่งอุดตัน
✅ เช็กภายในรถและระบบแอร์ – อบโอโซนถ้ามีกลิ่นอับ
✅ ไม่มั่นใจ? เรียกช่างถึงที่ทันที
การดูแลรถหลังน้ำท่วมอย่างถูกวิธีจะช่วยยืดอายุรถและป้องกันความเสียหายที่ใหญ่กว่า หากต้องการความช่วยเหลือ สามารถเรียกช่างผ่านแอป 24CARFIX ได้ตลอด 24 ชั่วโมง