วิธีดูแลสีรถช่วงหน้าฝน
เคล็ดลับดูแลสีรถยนต์ให้เงางามและไม่หมองในหน้าฝน
ช่วงฤดูฝนถือเป็นอีกหนึ่งฤดูที่สีรถยนต์ต้องเผชิญกับสภาวะเสี่ยง ทั้งจากน้ำฝน กรดฝน คราบโคลน และมลภาวะที่เกาะตามตัวถังรถ หากละเลยการดูแล อาจทำให้สีรถหมองลงหรือเกิดคราบฝังแน่นที่ยากต่อการล้างออก ต่อไปนี้คือ 5 วิธีป้องกันสีรถจากน้ำฝน ที่เจ้าของรถควรรู้และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ:

1. ล้างรถอย่างสม่ำเสมอ
การล้างรถบ่อย ๆ ช่วยลดการสะสมของคราบฝน โคลน และฝุ่นละออง หากปล่อยทิ้งไว้นาน คราบเหล่านี้จะฝังแน่นและทำลายผิวเคลือบของรถ
เคล็ดลับ:
- ควรล้างรถภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากตากฝน
- ใช้น้ำสะอาดล้างให้ทั่ว และเช็ดให้แห้งด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์เพื่อลดคราบน้ำ
2. เคลือบสีรถและกระจก
น้ำยาเคลือบสีสามารถสร้างชั้นฟิล์มป้องกันไม่ให้น้ำฝนและสิ่งสกปรกเกาะที่ผิวรถโดยตรง ซึ่งช่วยลดความเสียหายจากกรดฝนหรือสิ่งสกปรกที่ละลายมากับน้ำฝนได้
เคล็ดลับ:
- ควรเคลือบอย่างน้อยเดือนละ 1–2 ครั้ง
- เคลือบกระจกด้วยน้ำยาเฉพาะเพื่อให้มองเห็นชัดแม้ฝนตกหนัก
3. ดูแลพรมปูพื้นในรถให้สะอาด
ฝนไม่เพียงแค่ทำร้ายสีรถด้านนอก แต่ยังทำให้ภายในอับชื้นได้ง่าย หากรองเท้าเปียกน้ำแล้วเหยียบลงบนพรม จะเกิดความชื้นและกลิ่นอับในห้องโดยสาร
คำแนะนำ:
- ถอดพรมออกมาตากแดดเป็นประจำ
- ใช้พรมยางที่กันน้ำแทนพรมผ้าในช่วงหน้าฝน

4. หลีกเลี่ยงการจอดกลางแจ้ง
แม้ฝนจะตกแต่แสง UV ก็ยังสามารถผ่านเมฆลงมาได้ รวมถึงน้ำฝนที่แห้งคาตัวรถสามารถทิ้งคราบและทำลายผิวเคลือบได้เช่นกัน
แนะนำ:
- จอดในที่ร่ม หรือใช้ผ้าคลุมรถที่ระบายอากาศได้
- หมั่นตรวจสอบหลังคาหรือบริเวณที่จอดว่าไม่มีน้ำขังรอบตัวรถ
5. หลีกเลี่ยงการจอดใต้ต้นไม้
แม้จะร่มเงา แต่ต้นไม้มีทั้งยางไม้ ใบไม้ ฝุ่น และมูลนก ซึ่งสามารถกัดผิวสีรถได้โดยตรง โดยเฉพาะยางไม้ที่เมื่อเกาะแล้วไม่รีบล้างจะฝังลึกในชั้นเคลือบใสของสีรถ
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
- อย่าใช้ผ้าแห้งเช็ดรถขณะมีฝุ่นเกาะ เพราะจะทำให้เกิดรอยขีดข่วน
- หลีกเลี่ยงการใช้ผงซักฟอกแทนแชมพูล้างรถ เพราะอาจมีความเป็นด่างสูงเกินไป
- หลังฝนตกควรตรวจสอบคราบน้ำหรือยางไม้ที่อาจหลงเหลืออยู่
สรุป
การดูแลสีรถในช่วงฤดูฝนไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณรู้วิธีที่ถูกต้อง การล้างรถ เคลือบสี และหลีกเลี่ยงจุดเสี่ยงจะช่วยยืดอายุสีรถให้เงางามเหมือนใหม่อยู่เสมอ และยังช่วยรักษามูลค่ารถได้ในระยะยาวอีกด้วย