กระจกรถยนต์ต้องเลือกแบบไหน

กระจกรถยนต์นั้นมีความสำคัญมาก เพราะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ถ้าหากผู้ใช้รถดูแลรักษาได้ไม่ดี อายุการใช้งานของกระจกนั้นจะสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งปกติแล้วกระจกที่ใช้สำหรับรถยนต์นั้น จะเป็นกระจกรถยนต์นิรภัยทั้งหมด เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการแตกร้าว ทั้งจากแรงปะทะของลมขณะแล่นด้วยความเร็ว การบิดของตัวถัง รวมถึงการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ จึงต้องมีความแข็งแรงเป็นพิเศษเราจึงต้องรู้จักวิธีการดูแลรักษากระจกรถยนต์ ว่าทำอย่างไรให้ใช้งานได้อย่างยาวนาน หรือหากมีเหตุให้กระจกรถยนต์ได้รับความเสียหายจนต้องเปลี่ยนใหม่ จะต้องเลือกแบบไหนให้ปลอดภัยต่อผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

กระจกรถยนต์ มีกี่ชนิดกันนะ?

กระจกรถยนต์มีความสำคัญมาก ๆ ต่อผู้ขับขี่และผู้โดยสาร หากติดตั้งกระจกรถยนต์ที่ด้อยคุณภาพ อาจส่งผลไม่ดีต่อร่างกายของคนในรถ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ กระจกรถยนต์มักได้รับแรงกระแทกจนแตก เนื้อกระจกที่แตกอาจทำให้เกิดบาดแผลได้ ในปัจจุบัน กระจกรถยนต์ที่นิยมใช้มีอยู่ 2 ชนิด คือ

1. กระจกเทมเปอร์ (Tempered)

กระจกชนิดนี้หนาประมาณ 5 มิลลิเมตร จะได้รับความร้อนที่ 650-700 องศาเซลเซียส จากนั้นจะถูกทำให้ผิวหน้าเย็นลงเพื่อให้เกิดแรงอัดช่วยต้านแรงจากภายนอก เวลาแตกจะเป็นเม็ดเล็กๆ ซึ่งไม่แหลมคม เพื่อไม่ให้เป็นอันตราย กระจกเทมเปอร์ยังแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

  • Zone-Tempered: เวลาแตกร้าว จะแตกเป็นชิ้นเล็กๆ ลามไปทั้งบาน แต่ยังพอมองเห็นทางได้ เลยนิยมใช้เป็นกระจกบังลมหน้า
  • Full-Tempered: แต่จะแตกเป็นเม็ดเล็กๆ ทั่วทั้งแผ่นซึ่งออกแบบมาไม่ให้แหลมคม แต่ก็ยังต้องระวัง เพราะยังมีบางเหลี่ยมที่คมได้

2. กระจกลามิเนต (Laminate)

กระจกชนิดนี้หนากว่าเทมเปอร์ที่ 6 มิลลิเมตร ทำจากการรีดแล้วประกบกัน โดยแต่ละชั้นเชื่อมด้วยฟิล์ม PVB หรือ EVA เวลากระจกแตก เศษกระจกจะไม่ร่วงออกมาด้วยฟิล์มที่ยึดกระจกไว้ ไม่ให้น้ำหรือลมเข้ามาได้ และเมื่อแตกจะเป็นเส้นร้าว ไม่ลามไปทั้งบานอย่างเทมเปอร์ ถึงแม้จะไม่มีวันหมดอายุ แต่ก็ต้องสังเกตรอยฝ้าที่ขอบหรือมุมกระจก

ข้อสังเกตกระจกที่รถเรามีอยู่

1. ดูที่มุมซ้ายหรือขวาของกระจก จะมีสัญลักษณ์บอกชนิดว่าเป็น Laminated หรือ Tempered

2. มองภายนอก ถ้าเป็นกระจก Tempered จะมีสีรุ้งม่วง ๆ ทั่วบานถ้าเป็น Zone-Tempered จะมีวงใหญ่ตรงกลาง แต่ Laminate จะไม่มีลักษณะนี้

หน้าแรกช่างซ่อมรถยนต์