6 ไฟเตือนสำคัญบนหน้าปัดรถยนต์ บอกอะไรบ้าง? เช็กให้ดี ก่อนรถพัง!

เมื่อคุณบิดกุญแจหรือกดปุ่ม Start รถ สัญญาณไฟต่าง ๆ บนหน้าปัดจะติดขึ้นชั่วครู่เพื่อแสดงสถานะระบบต่าง ๆ ในรถ หากทุกอย่างปกติ ไฟจะดับไปในไม่กี่วินาที แต่หาก มีไฟเตือนบางจุดไม่ดับ หรือขึ้นค้างไว้ นั่นคือสัญญาณว่ารถของคุณอาจมีปัญหา!

เรารวบรวม 6 ไฟเตือนที่ผู้ขับขี่ควรรู้ เพื่อป้องกันอันตราย และดูแลรถได้ก่อนเสียหายรุนแรง

1. ไฟเตือนอุณหภูมิความร้อนเครื่องยนต์

ลักษณะ: ไฟเตือนรูปเทอร์โมมิเตอร์บนคลื่นน้ำ

ความหมาย: เครื่องยนต์ร้อนเกินไป อาจเกิดจากหม้อน้ำรั่ว, พัดลมระบายความร้อนเสีย หรือปั๊มน้ำทำงานผิดปกติ

ควรทำ: รีบจอดรถในที่ปลอดภัย ดับเครื่อง และรอให้เย็นก่อนตรวจสอบน้ำหล่อเย็น

2. ไฟเตือนน้ำมันเครื่อง

ลักษณะ: รูปกาน้ำมัน

ความหมาย: แรงดันน้ำมันเครื่องต่ำกว่ามาตรฐาน อาจเกิดจากน้ำมันเครื่องขาด, เสื่อมคุณภาพ หรือมีการรั่วซึม

ควรทำ: หยุดรถทันที ตรวจเช็กระดับน้ำมันเครื่อง และเติมหากจำเป็น

3. ไฟเตือนเบรก

ลักษณะ: วงกลมมีเครื่องหมายตกใจ หรือคำว่า “BRAKE”

ความหมาย: เบรกมือยังไม่ถูกปลด หรือระบบเบรกหลักมีปัญหา เช่น ผ้าเบรกหมด, น้ำมันเบรกต่ำ

ควรทำ: ตรวจสอบการปลดเบรกมือ หากยังขึ้นอยู่ให้ตรวจที่ศูนย์บริการทันที

4. ไฟเตือนระบบ ABS

ลักษณะ: ตัวอักษร ABS ในวงกลม

ความหมาย: ระบบเบรกป้องกันล้อล็อกทำงานผิดปกติ รถยังขับได้แต่ระบบ ABS จะไม่ทำงาน

ควรทำ: เข้าตรวจสอบกับศูนย์บริการ เพราะหากฝนตกถนนลื่น ระบบนี้สำคัญมาก

5. ไฟเตือนเครื่องยนต์ (Check Engine)

ลักษณะ: รูปร่างเครื่องยนต์

ความหมาย: มีปัญหาในระบบเครื่องยนต์หรือเซ็นเซอร์ เช่น ระบบไอเสีย, หัวฉีด, การเผาไหม้

ควรทำ: รีบตรวจสอบหรือให้ช่างเสียบเครื่องวิเคราะห์ปัญหา เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์เสียหายหนัก

6. ไฟเตือนแบตเตอรี่

ลักษณะ: สัญลักษณ์แบตเตอรี่

ความหมาย: แสดงว่าไดชาร์จหรือระบบจ่ายไฟมีปัญหา แบตเตอรี่ไม่สามารถเก็บไฟได้

ควรทำ: รีบไปให้ช่างตรวจระบบชาร์จ เพราะหากปล่อยไว้อาจทำให้รถดับกลางทาง

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

  • ไฟเตือนทุกดวงมีเหตุผล อย่ามองข้าม
  • หมั่นตรวจเช็กรถตามรอบระยะ
  • หากไม่มั่นใจ ควรเรียกช่างหรือบริการซ่อมรถนอกสถานที่
หน้าแรกช่างซ่อมรถยนต์